แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - airrii

หน้า: [1] 2
1

ทำประกันทั้งทีถ้าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ด้วย ก็เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะได้ทั้งความคุ้มครอง และยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หลายๆ คนคงกำลังจัดระเบียบการใช้จ่ายของตัวเองและเตรียมเอกสารต่างๆ สำหรับเทศกาลลดหย่อนภาษีปลายปีที่ใกล้เข้ามา แต่หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะต้องซื้อประกันประเภทไหนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ มีเงื่อนไขเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่ และจะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดเท่าไหร่ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาไว้ให้แล้ว



ประเภทของประกันที่ลดหย่อนภาษีได้
1. ประกันชีวิต
ประกันชีวิตทั่วไป ลดหย่อนภาษีได้
ประกันที่เน้นให้ความคุ้มครองแก่ผู้ทำประกัน ในกรณีที่เสียชีวิตจากเหตุไม่คาดคิดก็จะได้รับเงินชดเชยตามวงเงินคุ้มครอง มีหลายรูปแบบ เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ และ ประกันชีวิตควบการลงทุน
โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทตามจำนวนที่จ่ายจริง หรือหากจะนับรวมเงินฝากแบบมีประกันด้วยก็ต้องไม่เกิน 100,000 บาท และใครที่มีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ซึ่งไม่ได้เพิ่งสมรสภายในปีนี้ ก็สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท เช่นเดียวกัน
เงื่อนไขการนำประกันชีวิตทั่วไปมาลดหย่อนภาษี
-         ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         หากมีการจ่ายเงินปันผลหรือเงินชดเชย จะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี

ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้
ประกันที่ให้ความคุ้มครองรายได้หลังเกษียณ จะเน้นที่ผลตอบแทนเป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันรายได้ในยามที่คุณเลิกประกอบอาชีพแล้วนั่นเอง
โดยประกันในรูปแบบนี้จะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 15% ของรายได้ (เงินได้ที่ต้องเสียภาษี) สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรืออาจลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เมื่อยังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กบข. และ กองทุนการออมแห่งชาติ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท
นั่นหมายความว่าหากคุณยังใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป ไม่ถึงเพดานสูงสุด 100,000 บาท คุณสามารถนำเบี้ยประกันบำนาญบางส่วนไปหักลบจนครบ 100,000 บาท ก่อนจะนำมาคำนวณหักลบกับ 15% ของรายได้ เป็นส่วนที่สอง
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตแบบบำนาญคือ
-         ต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         จ่ายผลประโยชน์เป็นงวดจำนวนเงินเท่ากัน หรือในสัดส่วนที่มากขึ้น เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
-         ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันครบถ้วนก่อนที่จะได้รับผลประโยชน์
-         กำหนดช่วงอายุการจ่ายผลประโยชน์ตั้งแต่ 55 - 85 ปี
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี



2. ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพตนเอง ลดหย่อนภาษีได้
รูปแบบประกันที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ คือประกันที่คุ้มครองอาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ มีการชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ, ประกันอุบัติเหตุเฉพาะ ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะและการแตกหักของกระดูก, ประกันโรคร้าย และ ประกันการดูแลระยะยาว
โดยสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และเงินฝากแบบมีประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพตนเองคือ
-         จัดทำกับบริษัทประกันในประเทศไทย
-         ต้องแจ้งต่อบริษัทว่าต้องการนำไปลดหย่อนภาษี
ประกันสุขภาพของพ่อแม่ ลดหย่อนภาษีได้
ในกรณีที่คุณจ่ายเบี้ยประกันให้กับพ่อแม่ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีเงินได้ สามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพของพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนในจำนวนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ได้เช่นกัน หรือหากมีการร่วมกันจ่ายกับพี่น้อง ก็สามารถนำมาหารเฉลี่ยตามจำนวนพี่น้องได้เช่นกัน
เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพของพ่อแม่คือ
-         ต้องมีความสัมพันธ์เป็นลูกแท้ๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
-         ในกรณีลูกบุญธรรมจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
-         พ่อแม่มีรายได้ต่อปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท
-         ตัวผู้ลดหย่อนหรือพ่อแม่ต้องอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันภายในปีภาษี
การมีประกันชีวิตที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้จะช่วยให้คุณสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือนและผู้ที่มีรายได้ประจำ ก็ควรมองหาตัวเลือกที่สามารถทำให้คุณมีทั้งความคุ้มครองด้านสุขภาพ และสิทธิในการลดหย่อนภาษี



2

พนักงานประจำ หรือ มนุษย์เงินเดือน  มีแค่ประกันกลุ่ม หรือ ประกันสังคมบางคนคิดว่าเพียงพอแล้ว จะทำประกันชีวิตเพิ่มทำไม สุขภาพยังแข็งแรงดีแค่ดูแลตัวเองดีๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ถ้าเราลาออกหรือเกษียณอายุแล้ว สวัสดิการทั้งหมดที่มีก็จบลงไปด้วย แต่ในเมื่อชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป และความเจ็บป่วยก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งในอนาคตที่เราเริ่มมีอายุร่างกายก็อ่อนแอลงโรคร้ายต่างๆ ก็อาจจะเป็นได้ง่าย 
การทำประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีและเราควรรีบวางแผนเอาไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อการรับมือกับปัญหาสุขภาพตั้งแต่วันที่ยังมีโอกาส เพราะหากเจ็บป่วยขึ้นมาเราก็ยังมีตัวช่วยในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล



ประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ เพิ่มจากสวัสดิการที่มีอยู่
เหตุผลที่พนักงานประจำ หรือ มนุษย์เงินเดือนอย่างเราควรทำประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพเพิ่มจากสวัสดิการ จะมีอะไรบ้างนั่น มาดูกันเลย
 1. ประกันชีวิต ประกันสุขภาพเป็นสวัสดิการที่เลือกเองได้
สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่บริษัทให้อาจไม่เพียงพอต่อค่ารักษาพยาบาลบางอย่าง เช่น ถ้าเราเป็นโรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน ก็จะสามารถเบิกได้บางส่วน นอกนั้นเราต้องเป็นคนที่ออกส่วนเกินของค่ารักษาพยาบาลเอง ดังนั้นการซื้อประกันชีวิต เสียชีวิตทุกกรณี หรือประกันสุขภาพนั้น เราสามารถเลือกได้เลยว่า ต้องการครอบคุมโรคใดบ้าง และได้รับวงเงินค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่เมื่อเราเกิดอุบัติเหตุ กรณีที่เราต้องนอนรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานประกันก็จะมีค่าชดเชยต่างๆ ให้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นภาระทางการเงินของครอบครัว
 
2. เพิ่มทางเลือกในการวางแผนช่วงวัยเกษียณ
สวัสดิการของบริษัทก็จะมีแค่ประกันกลุ่ม หรือประกันสังคม ถ้าเกษียณไปแล้วสวัสดิการเหล่านี้ก็จะจบลงไปด้วยเหมือนกัน และเมื่อเราเข้าสู่วัยเกษียณแล้วแน่นอนร่างกายคงไม่แข็งแรงเหมือนเก่า เจ็บป่วยแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่ายสูง การมีประกันชีวิตและสุขภาพไว้ช่วยดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ การมีประกันโรคร้าย จึงถือเป็นการวางแผนรับมือค่ารักษาพยาบาลในอนาคตไว้อีกทาง โดยเฉพาะการเจ็บป่วยเรื้อรังจากโรคร้ายแรง อย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ที่มีค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาโดยไม่กระทบเงินออมยามเกษียณที่เราออมมาตลอดชีวิตอีกด้วย
 
3. เพื่อการออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิตในระยะยาว
การออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิตผ่านกรมธรรม์ประกันชีวิต จะช่วยให้มีการออมในรูปแบบการประกันชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยและมีความต่อเนื่อง ได้รับความคุ้มครองชีวิตพร้อมการออมเงินในรูปแบบการประกันชีวิตไปในตัว ช่วยให้เราอุ่นใจว่าในอนาคตว่าเราจะมีเงินเเละมีความคุ้มครองชีวิตของเราอยู่ อีกทั้งยังมีความแน่นอนของจำนวนเงินที่จะได้รับ ถึงแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น เสียชีวิตผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินตามจำนวนเงินเอาประกันที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีในเรื่องของการกระจายความเสี่ยง


 
4. ลดหย่อนภาษีได้
การทำประกันชีวิตและสุขภาพไม่ใช่แค่ช่วยคุ้มครองแค่เรื่องค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย แต่ค่าเบี้ยประกันที่เราจ่ายไปนั้น สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย และการทำประกันนั้นสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 ส่วนคือ
สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนแรก
สำหรับเบี้ยประกันชีวิต ประกันออมทรัพย์ ที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และประกันสุขภาพ สามารถลดหย่อนรวมกันได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี ซึ่งในกรณีใช้สิทธิส่วนนี้ไม่ถึง 100,000 บาท สามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญมารวม เพื่อให้ครบ 100,000 บาทได้

สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนที่สอง
สำหรับเบี้ยประกันแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 15%ของรายได้ สูงสุด 200,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ และกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชนต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

มนุษย์เงินเดือนควรจะเริ่มต้นการวางแผนการเงินกับการรักษาพยาบาลเพราะบางทีการมีประกันกลุ่ม หรือประกันสังคมอาจไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรทำประกันชีวิตและประกันสุขภาพควบคู่กันไปด้วย หากใครกำลังสนใจทำประกันเราขอแนะนำประกันดีๆ จาก ไทยประกันชีวิต ที่มีให้เลือกทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ที่สำคัญสามารถทำผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ว

เลือกความคุ้มครองของประกันได้ตามงบประมาณที่เราพอใจ สามารถปรับรูปแบบตามความต้องการของเราได้ และความคุ้มครองจะเริ่มต้นทันทีที่ซื้อหลังจากได้รับอีเมลยืนยันกรมธรรม์ เพียงแค่นี้ เราก็จะมีตัวช่วยในการใช้ชีวิตให้เราอุ่นใจมากยิ่งขึ้น

3
เมื่อประกันสุขภาพที่คุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ในท้องตลาดก็มีความหลากหลาย ทั้งแบบประกันสุขภาพ แบบแยกค่ารักษา    ค่ารักษาพยาบาล และแบบประกันเหมาจ่าย ออกเป็นส่วนๆ จุดดีและข้อจำกัดของประกันสุขภาพ ทั้งสองรูปแบบทำงานต่างกัน วันนี้หากจะต้องตัดสินใจเลือก คุณเลือกจากอะไร เลือกได้บ้างหรือยัง ก่อนที่เราจะเลือกมาใช้งานจริง ลองมาดูกัน



ประกันสุขภาพ แยกค่ารักษาพยาบาล หรือวงเงินค่ารักษา 
จะถูกกำหนดโดยอัตราค่าห้อง อาหาร การพยาบาลในกรณีที่เราเป็นผู้ป่วยใน ควรเลือกให้เหมาะสม (สามารถประมาณได้จากค่าห้องโรงพยาบาลที่ตนเองใช้บริการอยู่เป็นประจำ ค้นหาจากในอินเทอร์เน็ต พิมพ์ค่าห้อง ชื่อโรงพยาบาลได้) ถัดมาคือความคุ้มครองจะแยกออกเป็นวงเงินจำกัดในแต่ละส่วน เช่น วงเงินค่ารักษาต่อครั้ง วงเงินค่าผ่าตัด วงเงินค่าตรวจเยี่ยมของแพทย์
ถ้าเลือกค่าห้องที่สูง วงเงินอื่นๆ ก็จะปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และจะมีการกำหนดวงเงินค่ารักษาต่อครั้งจำกัดไว้

จุดเด่นที่สำคัญของประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย  แม้จะมีการกำหนดวงเงินค่ารักษาแต่ละครั้งสำหรับโรคใดโรคหนึ่ง แต่จะไม่มีการกำหนดวงเงินสูงสุดต่อปี
ทำให้หากปีนั้นป่วย เป็นผู้ป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาลด้วยโรค A เมื่อรักษาหายแล้ว ต่อมาอีก 1 เดือน เจ็บป่วยอีกและหากต้องนอนในโรงพยาบาลด้วยโรค B จะทำให้วงเงินในการเบิกรักษาเริ่มนับใหม่ได้ ทั้งนี้ ถ้าเป็นโรคเดิมแต่มีระยะเวลาที่เข้าพักรักษาห่างกันเกิน 90 วัน ก็สามารถเริ่มนับใหม่ได้เช่นเดียวกัน

จุดเด่นถัดไปคือ สามารถเลือกความคุ้มครองตามงบประมาณที่มีจำกัดได้ โดยเลือกเปรียบเทียบค่าห้องให้เหมาะสมกับโรงพยาบาลที่ใช้บริการอยู่กับงบประมาณที่จะใช้วางแผนประกันสุขภาพ ทำให้สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ ในกรณีที่ต้องเข้าพักรักษาตัว

ข้อจำกัด เมื่อมีการกำหนดวงเงินค่ารักษา ทำให้แต่ละรายการมีวงเงินคุ้มครองจำกัด ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันที่มีการเพิ่มขึ้นของค่ารักษาตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไปรวมถึงอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ทำให้ผู้เลือกประกันสุขภาพประเภทนี้ อาจมีส่วนต่างที่เบิกไม่ได้ในบางรายการ กรณีการรักษาในครั้งนั้นมีขั้นตอนความซับซ้อน

ประกันสุขภาพ แบบเหมาจ่ายค่ารักษา    มีการกำหนดวงเงินรักษาแบบเหมารวมทุกอย่างต่อปี ให้มีวงเงินสูงสุดที่เท่าไร และบางครั้งอาจมีเงื่อนไขที่กำหนดรายละเอียดเป็นวงเงินการรักษาต่อครั้งเพิ่มเติมด้วย เช่น คุ้มครองการรักษาผู้ป่วยในเหมาจ่ายต่อปี 1 ล้านบาท แต่ให้ความคุ้มครองการรักษาต่อครั้งไม่เกิน 500,000 บาท (ให้จำนวนกี่ครั้งต่อปี) หรือไม่จำกัดจำนวนครั้งและเหมาจ่ายทั้งปีทั้งก้อนรวมตลอดทั้งปีที่ได้รับความนิยมกันในปัจจุบัน

จุดเด่นหลัก ความสบายใจเพราะมีวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาต่อปีให้ไม่จำกัดรายการรักษา ซึ่งเป็นวงเงินที่สามารถเลือกระดับความคุ้มครองได้สูงถึงหลักล้าน ทำให้มีโอกาสครอบคลุมค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง แม้ในอนาคตจะมีการปรับราคาค่าบริการสูงขึ้นโดยไม่ต้องคอยกังวลว่าค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลแยกออกมาเป็นเรื่องต่างๆ จะเกินวงเงินหรือไม่

ข้อจำกัดที่สำคัญ  เบี้ยประกันค่อนข้างสูง ยิ่งเป็นแผนที่วงเงินเหมาจ่ายสูงมากๆ ค่าเบี้ยจะยิ่งสูงขึ้นตามวงเงินคุ้มครองที่เลือก และเพิ่มตามช่วงอายุของผู้เอาประกันที่มากขึ้น ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ นอกจากนั้นประกันแบบเหมาจ่าย มีการจำกัดวงเงินเรื่องค่าห้องพักรักษาซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในวงเงินเหมาจ่าย ทำให้ผู้ซื้อประกันสุขภาพแบบนี้อาจมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินในเรื่องค่าห้องพักเพิ่มเติมในกรณีที่ค่าห้องสูงเกินวงเงินที่กำหนด

ขอบคุณข้อมูลสนับสนุนความรู้ครั้งนี้ โดยคุณณรงค์ศักดิ์ พิริยะพงศ์ นักวางแผนการเงิน CFP

4
ตอนเป็นยังไม่หนาวเท่า เป็นแล้วอาจเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ
เด็กมักมีโอกาสโรคติดในช่วงอากาศหนาว ใน 3 กลุ่มโรค และ 5 โรคสำคัญ อาทิ โรคติดเชื้อจากระบบทางเดินหายใจ (โรค covid19, โรคไข้หวัดใหญ่, โรคติดเชื้อ RSV) โรคติดเชื้อจากระบบทางเดินอาหาร โรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส ประกันเด็ก



01 กลุ่มโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
โรค COVID19 | โรคไข้วัดใหญ่ | โรคติดเชื้อ RSV 924 เชื้อไวรัสของ 3 ชนิด มักแพร่กระจายในฤดูฝนและฤดูหนาว ผ่านละออง และการสัมผัส
กลุ่มเสี่ยง เด็กที่ติดเชื้อไวรัสทั้งสามชนิด อาจมีอาการรุนแรง มีภาวะปอดอักเสบ คือ เด็กที่มีลักษณะอ้วนและเด็กเล็ก (มีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และเชื้ออาร์เอสวี)
อาการ มีไข้หวัด น้ำมูก เจ็บคอ ไอ นอกจากนั้นอาจพบภาวะแทรกซ้อนทางปอด (ปอดอักเสบ) หรือที่เรียกว่า “เชื้อลงปอด” โดยจะมีอาการเหนื่อยหอบร่วมด้วย
ภาวะปอดอักเสบพบได้บ่อยในเด็กที่ติดเชื้ออาร์เอสวี พบได้บ้างในเด็กเล็กที่ติดเชื้อไวร้สไข้หวัดใหญ่ และพบน้อยในเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอน
รักษาตามอาการ ยาต้านไวรัสโควิด-19 และยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่แนะนำสำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยง เด็กที่มีภาวะปอดอักเสบ หรือแนะนำตามดุลยพินิจของแพทย์ ยาต้าน RSV ยังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย
ป้องกัน สวมหน้ากาก การเว้นระยะห่าง การล้างมือ และการฉีดวัคซีน
วัคซีน
วัคซีนโควิด-19 ในเด็กนิยมใช้วัคซีนชนิด mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ แนะนำในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป หลังฉีดวัคซีนชุดแรกครบ (3 เข็มสำหรับเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี และ 2 เข็มสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป) ควรฉีดกระตุ้นทุกๆ 6 เดือน
 
วัคซีนไข้หวัดใหญ่แนะนำในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยฉีดทุกปี ภาครัฐมีบริการวัคซีนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยง (อายุ 6 เดือน – 2 ปี เด็กอ้วน และเด็กที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง) 

02. โรคติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร
โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า พบในเด็กอายุ 5 ขวบปีแรก เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายผ่านฝอยละอองและการสัมผัส โรคนี้พบได้ตลอดปีแต่พบบ่อยในฤดูหนาว ซึ่งแตกต่างจากโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อแบคทีเรียที่มักพบในฤดูร้อน
อาการ ไข้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ หากมีภาวะเสียน้ำมากอาจเกิดภาวะช็อคได้
รักษา ตามอาการและดื่มน้ำเกลือแร่
ป้องกัน ควรดื่มนมแม่และการรับวัคซีนโรต้า
วัคซีน
วัคซีนโรต้าเป็นวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กไทย แนะนำให้หยอด 2 หรือ 3 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน   วัคซีนไม่ได้ช่วยป้องกันโรคโดยตรง แต่ช่วยลดความรุนแรงของโรคเท่านั้น
 
03. โรคไข้ออกผื่น
โรคอีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใส พบได้ตลอดปีแต่พบบ่อยในฤดูหนาว เพราะเชื้อมีความทนต่อสภาพอากาศเย็น เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายในสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ผ่านทางอากาศ เด็กที่เคยเป็นอีสุกอีใสมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในอนาคตเมื่อภูมิคุ้มกันลดลง ประกันสุขภาพ

กลุ่มเสี่ยง ทารกแรกเกิด เด็กวัยรุ่น และเด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ
อาการ เด็กที่ติดเชื้อไวรัสอีสุกอีใสจะมีอาการไข้และผื่น โดยผื่นจะมีลักษณะจำเพาะคือ เริ่มจากตุ่มแดง กลายเป็นตุ่มใส ตุ่มหนอง และตกสะเก็ด
รักษา ตามอาการ ยาต้านไวรัสอีสุกอีใสแนะนำในเด็กกลุ่มเสี่ยง มีอาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อน
ป้องกัน การฉีดวัคซีนเป็นหลัก
วัคซีน
วัคซีนอีสุกอีใสเป็นวัคซีนเสริมสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีดสองครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1-3 เดือน วัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคหรืออย่างน้อยสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ 


เด็กเล็กๆ มีโอกาสเจ็บป่วย จากโรคเหล่านี้ทุกวัน ส่วนใหญ่กินระยะเวลายาวนาน > ผู้ใหญ่
โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่แสนห่วงลูกน้อย หัวใจแทบขาด ตอนได้ยินเสียร้องระงม ต้องคอยสลับกันดูแลเฝ้าไข้ อาจยังผลให้ต้องขาดงาน เฝ้าไข้ เพราะห่วงกังวลลูกน้อย อยากให้หายปลอดภัยเร็วที่สุดนั่นเอง และขอขอบคุณเนื้อหาสนับสนุนความรู้ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย


รับชมวีดีโอ มรดกเพิ่มพูน (เพื่อผู้สูงอายุ) ประกันเพื่อผู้สูงอายุ
คลิก youtu.be/My738Qb9kj0




5
Ulthera คือ อะไร

   ulthera อัลเทอร่า คือ เครื่องยกกระชับผิวและลดริ้วรอย ที่จะช่วยเรียกคืนผิวอ่อนเยาว์ให้กลับมา โดยใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focused Ultrasound) ยิงลงไปใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวหดตัวและยกกระชับขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน สามารถแก้ปัญหาผิวได้แม่นยำ ตรงจุด โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ช่วยชะลออายุผิว และลดโอกาสเกิดริ้วรอยในอนาคต



Ulthera มีหัวยิงลงลึกถึงชั้นผิวหลายระดับ เพื่อแก้ปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละชั้นผิว ลงลึกถึงชั้นผิว SMAS

หัวยิงลึก 1.5 mm ลดริ้วรอยผิวชั้นบน ในชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้

หัวยิงลึก 3 mm กระชับชั้นไขมัน กระตุ้นคอลลาเจน ลดความหย่อนคล้อยของผิว

หัวยิงลึก 4.5 mm ยิงชั้นผิว SMAS ชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า

Ulthera เหมาะกับใคร ?

    ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยปานกลาง

    ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าเรียว กรอบหน้าชัดขึ้น

    ผู้ที่มีร่องแก้ม ร่องมุมปาก แก้มหย่อนคล้อย

    ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ยกคิ้ว หางตา และลดถุงใต้ตา

    ผู้ที่ต้องการกระชับเหนียง คางสองชั้น และลำคอ

    ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้แน่นกระชับ รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียน

 
Ulthera SPT ต่างจาก Ulthera ปกติอย่างไร

   Ulthera SPT คือเทคนิดในการรักษาที่ความละเอียดแม่นยำมากขึ้น เนื่องจากเครื่อง Ulthera มีหน้าจอที่ช่วยแสดงผลขณะยิงให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างชั้นลึกถึงชั้นผิวsmas จึงมีความแม่นยำต่อจุดที่ต้องการแก้ไขปัญหา และมีความละเอียดแม่นยำสูง เจ็บน้อยกว่า และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า

หลักการในการทำงานของเครื่อง Ulthera

   Ulthera SPT คือการใช้นวัตกรรม Ulthera ที่มี SPT หรือ See – Plan – Treat คือการยิงคลื่นเสียงพลังงานสูงไปใต้ชั้นผิว ให้ผิวเกิดการหดตัว และมีความยกกระชับขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสตินเพื่อฟื้นฟูผิว ซึ่งมีความแม่นยำ และสามารถออกแบบให้เจาะจงกับปัญหา และสภาพผิวของแต่ละคนได้

Ulthera SPT มาจาก See Plan Treat คือเทคนิคในการยิง Ulthera โดยมีขั้นตอนการทำงาน ดังนี้

S – See

   S หรือ See คือการให้แพทย์สามารถมองเห็นกระบวนการได้ระหว่างการทำหัตถการ (Real-Time visualization) ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถแสดงผ่านหน้าจอได้ชัดเจน ให้แพทย์มองเห็นทุกชั้นผิว และสามารถยิงคลื่น MFU-V (Microfocus Ultrasound with Visualization) เข้าไปที่ชั้นผิว SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ได้อย่างแม่นยำ

P – Plan

   P หรือ  Plan คือ การวางแผน เมื่อแพทย์สามารถมองเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจนลึกถึงชั้นผิว จึงสามารถวิเคราะห์ ออกแบบ และแก้ไขปัญหาได้อย่างละเอียด

T – Treat

   T หรือ Treat คือความแม่นยำในการรักษา และการยกกระชับหน้า เมื่อแพทย์สามารถเข้าใจถึงปัญหา ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะผู้เข้ารับบริการแต่ละคนที่มาด้วยปัญหาที่แตกต่างกันออกไป สามารถลดอาการเจ็บปวด หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

Ulthera SPT ดีอย่างไร?

    สามารถออกแบบการแก้ไขปัญหาที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละบุคคลได้ เนื่องจากปัญหาผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    มีความแม่นยำ เพราะแพทย์สามารถเห็นโครงสร้างชั้นลึกถึงชั้นผิวsmas ด้วยเอกสิทธิ์เฉพาะของเครื่อง Ulthera

    ไม่ต้องผ่าตัด Ulthera SPT อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้างในเรื่องของราคาที่สูง แต่เมื่อเทียบกับการไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นนานๆ ถือเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดการพักฟื้นหลังจากการผ่าตัดได้เป็นอย่างดีและหลังทำไม่มีอาการบวม

    เห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรก Ulthera SPT ถือเป็นนวัตกรรมยกกระชับผิวที่เห็นผลลัพธ์ได้หลังทำทันที และจะเห็นผลได้ชัดขึ้นใน 1-3 เดือน

Ulthera ราคา เท่าไหร่

Ulthera นอกจากขึ้นกับเครื่องแท้แล้ว ยังขึ้นกับฝีมือและเทคนิคของแพทย์เป็นสำคัญ เพราะอาศัยเทคนิคและความเชี่ยวชาญ ของแพทย์ในการสแกน และเล็งการยิงชั้น SMASรวมถึงเข้าใจปัญหาโครงสร้างของใบหน้า จึงจะเกิดผลลัพธ์ที่ดีได้จริง และอยู่ได้นาน 1 ปี ต้องอาศัยเทคนิค และความแม่นยำสูงในการทำ


6
หมดปัญหาเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ในสุขภัณฑ์ห้องน้ำ ด้วย 5 ไอเดียง่าย ๆ ขจัดกลิ่น ไม่พึงประสงค์ในห้องน้ำ ที่จะช่วยให้บรรยากาศในบ้านของคุณดูน่าอยู่มากยิ่งขึ้น และไม่ต้องกังวลกับเรื่องกลิ่นอีกต่อไป
กลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านเป็นปัญหากวนใจสำหรับหลายครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับ กลิ่นเหม็นจากส่วนต่าง ๆ ของบ้าน โดยเฉพาะ “ห้องน้ำ” ที่มักเป็นศูนย์รวมของกลิ่นเหม็นเนื่องจากห้องน้ำเป็นที่ทำธุระส่วนตัว แถมยังอับชื้นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย



ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องน้ำ
ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์จากห้องน้ำเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหม็นจากท่อระบายน้ำ กลิ่นเหม็นหลังจากการทำธุระส่วนตัว อากาศภายในห้องน้ำที่ถ่ายเทไม่สะดวกจนเป็นศูนย์รวมของกลิ่นอับ และการทำความสะอาดที่ไม่เพียงพอจึงก่อให้เกิดคราบสกปรกสะสมอยู่ตามสุขภัณฑ์ และบริเวณห้องน้ำจนเป็นที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์นั่นเอง วันนี้ TOTO จึงอยากแนะนำ 5 ไอเดียในการขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์เพื่อไม่ให้ปัญหาเรื่องกลิ่นต้องมารบกวนใจคุณอีกต่อไป

1. ปลูกต้นไม้ช่วยฟอกอากาศ
เริ่มต้นจากวิธีที่ใช้ธรรมชาติเข้าช่วย ด้วยการปลูกต้นไม้เพื่อช่วยฟอกอากาศภายในห้องน้ำ เช่น ว่านหางจระเข้ หรือพลูด่างซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยดูดซับสารเคมีต่าง ๆ ในอากาศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลูด่างสามารถดูดสารพิษจำพวกแอมโมเนียที่มักมีมากในห้องน้ำ รวมถึงเติบโตได้ดีในที่แสงน้อย ทำให้ปลูกได้ง่ายภายในห้องน้ำ การปลูกต้นไม้เพื่อช่วยฟอกอากาศอาจไม่เห็นผลในทันทีแต่ช่วยฟอกอากาศในระยะยาวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมี แถมยังช่วยให้บรรยากาศในห้องน้ำดูสดชื่นสบายตามากขึ้นได้อีกด้วย

2. มะนาว เปลือกส้ม ตะไคร้ ใบชา ช่วยดับกลิ่น
วิธียอดนิยมที่หลายบ้านเลือกใช้ดับกลิ่นเหม็น คือ การใช้สมุนไพรใกล้ตัวเป็นตัวช่วยในการดับกลิ่นไม่ว่าจะเป็น เปลือกส้ม มะนาว ตะไคร้ ใบเตย และใบชาแห้ง ก็ล้วนเป็นพืชที่หาได้ง่าย และยังมีคุณสมบัติในการช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้เป็นอย่างดี เพียงนำไปวางไว้ในห้องน้ำก็จะช่วยกำจัดกลิ่นเหม็น และเพิ่มกลิ่นหอมจากธรรมชาติให้กับห้องน้ำของคุณได้

3. ถ่านหุงต้มช่วยดูดซับกลิ่น
หลายคนคงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วว่าถ่านหุงต้มเองก็มีคุณสมบัติช่วยดูดซับกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอับและกลิ่นเหม็น ผู้ใหญ่ในหลายครอบครัวจึงนิยมวางถ่านไว้ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน รวมไปถึงห้องน้ำผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน วิธีใช้ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เพียงแค่นำถ่านใส่ถ้วยแล้ววางไว้ในห้องน้ำก็จะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้แล้ว



4. ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นสำเร็จรูป
นอกจากการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแล้ว ผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นแบบสำเร็จรูปที่มีอยู่ตามร้านค้า และห้างสรรพสินค้าทั่วไปก็เป็นทางเลือกที่สะดวกสบายและตอบโจทย์สำหรับใครหลายคน เช่น ถุงหอมดับกลิ่นภายในห้องน้ำ สเปรย์ดับกลิ่น แผ่นน้ำหอม หรือแม้แต่ก้านไม้หอมปรับอากาศ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายกลิ่นตามความชื่นชอบของแต่ละคน สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเคมี ปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและไม่มีสารเคมีตกค้างให้เลือกใช้เป็นจำนวนมากเช่นกัน

5. น้ำยาดับกลิ่นสุขภัณฑ์หลังการใช้งาน
หลายคนอาจรู้สึกกังวลว่าคนที่เข้าห้องน้ำถัดจากเราจะได้กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อาจหลงเหลืออยู่บ้างบริเวณฝาชักโครกหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ วันนี้เราจึงมีสเปร์ยดับกลิ่นที่ทำง่าย ๆ มาแนะนำกันค่ะ เพียงใช้แอลกอฮอล์ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยประมาณครึ่งช้อนชา ผสมกับน้ำเปล่าครึ่งถ้วยตวงใส่ลงในขวดสเปรย์ เพียงเท่านี้ก็ใช้ฉีดลงในสุขภัณฑ์หลังการใช้งาน สามารถช่วยระงับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ในทันที


7
วิธีลดสัดส่วน

   ไขมันหน้าท้อง ถือเป็นส่วนเกินของร่างกาย ที่ทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจในรูปร่างและบุคลิกภาพ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ ยิ่งมีไขมันหน้าท้องมากเท่าไหร่ โอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้น หลายคนจึงพยายามหาวิธีลดไขมันหน้าท้องหรือไขมันส่วนเกิน โดยการลองผิดลองถูก ทั้งอดอาหาร ออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อลดสัดส่วน



ไขมันหน้าท้องสาเหตุ?

   เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายมีการรับและสะสมสารอาหารประเภทไขมันเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่สามารถเผาผลาญได้หมดในแต่ละวัน ได้แก่ อาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต น้ำตาลที่ได้รับมากเกินก็จะเปลี่ยนรูปเป็นไขมัน ไม่ใช่เฉพาะไขมัน และเข้าไปเกาะติดอยู่ภายในอวัยวะต่างๆ รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย เมื่อนานวันมากขึ้น ไขมันชนิดนี้ก็จะมีความแข็งตัวมากยิ่งขึ้น และจะดันให้หน้าท้องของเราให้ยื่นออกมาจนเห็นได้ชัดเจน

          ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้อง นอกจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไปแล้วอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการไม่ชอบออกกำลังกายไม่ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย และยังพบว่าบางครั้งคนที่ทานน้อยแล้วก็ยังมีโอกาสพบภาวะไขมันในช่องท้องได้

 
วิธีลดไขมันส่วนเกิน

   1. เพิ่มการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3-5วัน/สัปดาห์ เช่น การวิ่งจ็อกกิ่ง(jogging) เดินเร็วโดยให้มีเหงื่อออกหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือง่ายๆคือขณะออกกำลังกายพูดเป็นประโยคได้ยากขึ้น

   2. ออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ โดยฝึกกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยบริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งน้ำหนักที่ใช้ควรให้สามารถยกได้ประมาณ 12-15 ครั้ง

   3.ควบคุมอาหาร เพื่อเป็นการจำกัดพลังงานไม่ให้มีการสะสมเพิ่มเติมและในผู้ที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องควรจำกัดการบริโภคไขมันและอาหารที่ให้พลังงานสูง

ในยุคและช่วงเวลาที่เร่งด่วน การดูแลอาหารการกิน การออกกำลังกายหรือแม้แต่การดูแลตัวเอง อาจเป็นสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์คนทั่วไปในยุคนี้ เมื่อช่วงเวลาในการดูแลตัวเองมีน้อยลง การหาตัวช่วยที่ดีคือคลินิก ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า

โปรแกรม EXILIS ULTRA 360  ควบคู่ Emsculpt การสลายไขมัน สร้างกล้ามเนื้อ ของคนยุคใหม่
EXILIS ULTRA 360 คืออะไร?

   ด้วยเทคโนโลยียกกระชับ ที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุเข้มข้น (Volumetric Monopolar Radio Frequency) ร่วมกับ Ultrasound คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ลงใต้ชั้นผิว ไปสลายไขมันพร้อมยกกระชับ และกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ผ่านมาตรฐาน USFDA (อย.ประเทศสหรัฐอเมริกา)  EXILIS ULTRA 360 ตอบโจทย์คนมีปัญหาไขมันส่วนเกิน คุณแม่หลังคลอด มีปัญหาต้นแขน ต้นขาหย่อนคล้อย มีเซลลูไลท์

Emsculpt คืออะไร?

   เครื่อง Emsculpt ใช้เทคโนโลยี HIFEM หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มข้นสูง เป็นตัวช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมันของคนยุคใหม่ Emsculpt  มีลักษณะพิเศษสามารถส่งพลังงานเข้าถึงชั้นกล้ามเนื้อ ผ่านไขมันใต้ชั้นผิวหนังไปกระตุ้นกล้ามเนื้อได้อย่างกว้างและลึกพร้อมกับเผาผลาญไขมัน ลดไขมันได้ในเวลาเดียวกัน

   Emsculpt ได้รับการรับรองประสิทธิภาพและความปลอดภัยจาก โดยองค์การอาหารและยา (FDA) ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรปและทั่วโลก

โปรแกรม EXILIS ULTRA 360  ควบคู่ Emsculptเป็นโปรแกรมพิเศษที่คุณหมอต้องแนะนำหนึ่งในตัวช่วยที่กำลังเป็นที่นิยมสร้างกล้ามเนื้อ ลดไขมันในทางกลับกันคือไม่ต้องออกกำลังกายเหมาะสำหรับวิถีชีวิตที่แสนยุ่งวุ่นวายในปัจจุบันมากอีกทั้งยังมีประโยชน์ ในคนที่มีข้อจำกัดในการออกกำลังกายหรือต้องการแก้ไขสัดส่วนเฉพาะจุด


8
ปัจจุบันนี้มะเร็งเต้านมยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดในผู้หญิง กล่าวคือพบเป็นอันดับหนึ่งของโรคมะเร็งในผู้หญิง และยังคงมีอัตราเสียชีวิตสูงมาก ทั้งที่การดำเนินโรคนั้นสามารถรักษาได้อย่างหายขาดเมื่อพบในระยะแรก ๆ สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นมะเร็งเต้านมมักตรวจเจอในระยะหลัง ๆ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุก ๆ คน ควรให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอยู่เสมอ ประกันมะเร็ง



แพทย์หญิงแพรวพรรณ ทองทับ รังสีแพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาวินิจฉัยขั้นสูงด้านเต้านมและรังสีร่วมรักษาของเต้านม โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมบางรายอาจไม่มีอาการแสดงใด ๆ แต่เจอความผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง ด้วยการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ ส่วนอาการที่พบได้บ่อยอย่างหนึ่ง คือการพบเจอก้อนที่เต้านม ซึ่งหากเป็นก้อนที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็ง จะนำไปสู่การเจาะชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยโรคในลำดับต่อไป

การตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจคัดกรองเพื่อดูว่าก้อนที่เต้านมมีหน้าตาหรือรูปร่างอย่างไร มีโอกาสที่จะเป็นเนื้องอกชนิดธรรมดาหรือเนื้อร้ายมากน้อยแค่ไหน โดยรังสีแพทย์จะประเมินค่าออกมาเป็นคะแนนที่เรียกว่า BI-RADS คะแนนนี้จะบ่งบอกความน่าจะเป็นในการเป็นมะเร็ง ซึ่งมีค่าตั้งแต่ BIRADS 1 – BIRADS 5 มีความหมายดังนี้

BI-RADS 1 หมายถึง ตรวจไม่พบความผิดปกติใด ๆ แนะนำให้ตรวจคัดกรองปีละ 1 ครั้ง
BI-RADS 2 หมายถึง ตรวจพบสิ่งที่มีได้ตามปกติธรรมชาติในเต้านม เช่น หินปูนธรรมดา ซีสต์หรือถุงน้ำเต้านม ก้อนเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง แนะนำให้ตรวจปีละ 1 ครั้ง
BI-RADS 3 หมายถึง ตรวจพบสิ่งที่คาดว่าน่าจะปกติที่พบได้ในเต้านม (probably benign) โอกาสเป็นมะเร็ง 0 – 2% แนะนำตรวจซ้ำทุก ๆ 6 เดือน จนครบ 2 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตราย
BI-RADS 4A หมายถึง ตรวจพบความผิดปกติ มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ 2-10 %
BI-RADS 4B หมายถึง ตรวจพบความผิดปกติ มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ 10-50 %
BI-RADS 4C หมายถึง ตรวจพบความผิดปกติ มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ 50-95 %
BI-RADS 5 หมายถึง ตรวจพบความผิดปกติ โอกาสเป็นมะเร็ง > 95% %
หากตรวจคัดกรองแล้ว เจอความผิดปกติที่มีคะแนนตั้งแต่ BI-RADS 4 ถึง BI-RADS 5 แพทย์จะแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อเพื่อให้ทราบผลการวินิจฉัยที่แน่ชัด โดยการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อ ในวันที่เจาะไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารก่อนตรวจ แต่หากผู้ป่วยทานยาในกลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด มีความจำเป็นต้องแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาให้ทราบ และจำเป็นต้องหยุดยาก่อนเจาะชิ้นเนื้อประมาณ 5-7 วัน เพื่อไม่ให้มีปัญหาเลือดหยุดยากระหว่างทำหัตถการ

การเจาะชิ้นเนื้อเต้านมทำได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยเริ่มแรกแพทย์จะฉีดยาชาบริเวณที่พบก้อนเนื้อ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยในขณะฉีดยาชาเท่านั้น โดยระหว่างการเจาะชิ้นเนื้อผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่จะได้ยินเสียงของเข็มเจาะชิ้นเนื้อระหว่างการเจาะ



ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีการเจาะชิ้นเนื้อในปัจจุบันที่สามารถเจาะและดูก้อนเนื้อผ่านการอัลตราซาวนด์หรือแมมโมแกรมทำให้การเจาะชิ้นเนื้อเป็นไปอย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น แม้ว่าก้อนเนื้อนั้นจะคลำไม่ได้ หรือมีขนาดที่เล็กกว่าหนึ่งเซนติเมตร นอกจากนี้ ยังมีความปลอดภัยสูง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในขั้นตอนการรักษาทั้งหมด โดยผู้ป่วยจะมีเพียงแผลขนาดเล็กเท่ารูเข็มที่ผิวหนังเท่านั้น หลังจากทำหัตถการเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ป่วยสามารถกลับได้เลย ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยจะได้รับการปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ ในระหว่าง 3 วัน ให้ผู้ป่วยดูแลแผลไม่ให้โดนน้ำและไม่ยกของหนัก หรือออกกำลังกาย เช่น เหวี่ยงแขนแรง ๆ นอกจากนั้นแล้วสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ถ้าหากมีอาการปวดสามารถทานยาพาราเซตตามอลเพื่อบรรเทาอาการได้

อย่างไรก็ตาม การเจาะชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาลเวชธานี การส่งตรวจผลชิ้นเนื้อด่วนจะใช้เวลาประมาณ 1 วันเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยสบายใจไม่ต้องกังวลกับการรอผลการตรวจนาน ส่วนผลชิ้นเนื้อปกติใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ประกันโรคร้ายแรง



ชมวีดีโอ ประกันเรื่องง่ายใกล้ตัวคุณ ตอน ประกันควบการลงทุน
คลิก
youtu.be/XemirZPs55M



9
การตรวจร่างกายโดยที่ยังไม่มีความผิดปกติใดๆ หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ถือเป็นการค้นหาโรคที่อาจแฝงอยู่โดยยังไม่ปรากฎอาการผิดปกติ ช่วยให้ตรวจพบแนวโน้มการเกิดโรคหรือโรคในระยะเริ่มต้น ส่งผลให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรค รวมถึงช่วยลดความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้หากพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทั้งนี้ การดูแลร่างกายทั้งการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างถูกต้องเหมาะสม รวมไปถึงการดูแลทางด้านจิตใจและการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่า การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ครบทั้งการป้องกันและดูแลรักษา เป็นประโยขน์ต่อตัวคุณและครอบครัวอย่างมาก ประกันสุขภาพ



โรคเบาหวาน ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคเบาหวานกันมากขึ้น และพบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีอายุน้อยลง โดยผลการสำรวจข้อมูลคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานมากถึง 9.5% โดย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยเท่านั้นที่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน ส่วนที่เหลือ 1 ใน 3 นั้นไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกวิธี โรคเบาหวานถือว่าเป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เป็นโรคที่อาจไม่แสดงอาการใดๆ ต้องทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดจึงจะทราบว่าเป็นโรคเบาหวาน ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นมักตรวจพบว่าเป็นโรคเบาหวานจากการตรวจสุขภาพประจำปี

เกณฑ์การวินิจฉัยเบาหวานมีหลายวิธี เช่น การวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งค่าปกติของระดับน้ำตาลควรน้อยกว่า 100 มก./ดล. หากมากกว่า 126 มก./ดล. ถือว่าเป็นเบาหวาน อย่างไรก็ตาม หากระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 100-125 มก./ดล. ถือว่ามีความเสี่ยง หรือเรียกว่าเป็นภาวะเบาหวานแฝงเท่านั้น

นอกจากนี้ สามารถตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1C - HbA1C) ซึ่งเป็นการตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือดตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้เช่นกัน โดยค่าปกติ HbA1C น้อยกว่า 5.7 mg% หากพบค่า HbA1C อยู่ในช่วง 5.7 mg% ถึง 6.4 mg% ถือว่าเสี่ยงเป็นเบาหวาน และเป็นผู้ป่วยเบาหวานเมื่อมีค่า HbA1C มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5 mg%


โรคความดันโลหิตสูง โรคนี้เป็นโรคที่ต้องได้รับการดูแลและใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสามารถส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมาได้ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ทั้งนี้ ค่าความดันโลหิตของคนปกตินั้นอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ค่าความดันโลหิตที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง คือ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป

ความน่ากลัวของโรคความดันโลหิตสูง คือ ผู้ป่วยมากกว่า 90-95 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุที่ชัดเจนของโรคได้ พบเพียงปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุที่มากขึ้น การมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน อาหารที่รับประทานเป็นประจำ หรือแม้แต่พันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมักไม่แสดงอาการ แต่เบื้องหลังนั้นได้สร้างความเสียหายต่อหลอดเลือดและหัวใจอย่างมาก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเรื้อรังอื่นๆ ที่อาจตามมาได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น


โรคไขมันในเลือดสูง ระดับไขมันในเลือดมีความสำคัญต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง ตีบ และอุดตัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจโดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้นผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงยังมีโอกาสเป็นโรคสมองขาดเลือด ส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตตามมา หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ โดยระดับคอเลสเตอรอลปกติที่ยอมรับได้ คือ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ส่วนไตรกลีเซอไรด์ ควรน้อยกว่า 150 มก./ดล. รวมถึงไขมันชนิดดี (HDL) ควรมีค่ามากกว่า 60 มก./ดล. และไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ควรมีค่าน้อยกว่า 130 มก./ดล.

โรคหัวใจ  เป็นโรคที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ อาจเป็นในส่วนของหลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ โรคหัวใจแต่กำเนิด หรือโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น มีปัจจัยเสี่ยงมาจากอายุที่มากขึ้น เพศ พันธุกรรม โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง มีภาวะอ้วน หรือชอบรับประทานอาหารไขมันสูง ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่เต็มอิ่ม เหนื่อยง่าย คลื่นไส้ ทั้งนี้ เนื่องจากโรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของทั้งเพศชายและเพศหญิง การตรวจหัวใจในรูปแบบต่างๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ชำนาญการด้านหัวใจ จะช่วยทำนายความเสี่ยงของโอกาสเกิดโรคหัวใจ เพื่อรู้เท่าทันและป้องกันโรคหัวใจได้ตั้งแต่เริ่มต้น เช่น การตรวจแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ หากได้ค่าการตรวจตั้งแต่ 400 ขึ้นไป ก็บ่งบอกว่าอาจมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบแฝงอยู่ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ รวมไปถึงการดูแลทางด้านต่างๆ เช่น อาหาร การออกกำลังกาย ก็มีผลต่อสุขภาพและมีข้อห้าม/ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจด้วยเช่นกัน ประกันโรคร้ายแรง

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ค่าความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากที่สุด การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันในเลือด เป็นการตรวจเบื้องต้นเพื่อประกอบการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง หากพบข้อบ่งชี้ภาวะหลอดเลือดสมอง อาจต้องมีการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ตรวจค่าการอักเสบของหลอดเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) ว่ามีจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติหรือไม่ ตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดแดงในสมอง (Transcranial Doppler Ultrasound) และตรวจหลอดเลือดแดงบริเวณคอที่ไปเลี้ยงสมองด้วยคลื่นความถี่สูง (Carotid Duplex Ultrasound) ทั้งนี้ การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองด้วยวิธีต่างๆ จะช่วยชี้ตำแหน่งหลอดเลือดสมองผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงหาความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้ก่อนเกิดอาการ แม้การตรวจสุขภาพ จะไม่ได้เป็นการรับประกันว่าผู้ตรวจจะปลอดจากโรคต่างๆ แต่การตรวจสุขภาพในกรณีที่ยังไม่มีอาการ จะช่วยให้ค้นพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อีกทั้งหากเสริมด้วยการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและอาหารรสจัด ออกกำลังกายเป็นประจำ ลดความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น รวมถึงพบแพทย์เพื่อปรึกษาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่สามารถทำได้ก่อนป่วย ก็สามารถส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีแบบ 360 องศาได้


10

   ปัญหาริ้วรอยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะถ้าหากต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นประจำและเมื่อมีอายุมากขึ้น ผิวเกิดการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ขาดความชุ่มชื้น ผิวหน้าแห้ง ริ้วรอยจึงเกิดขึ้นได้ง่าย สิ่งที่มักพบได้เป็นจุดแรก ได้แก่ ริ้วรอยรอบดวงตา ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลที่ดี ริ้วรอยก็ยิ่งมากและชัดขึ้นกว่าเดิม

สาเหตุการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า

1.อายุ : เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะผลิตสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง ชุ่มชื้น อย่างอิลาสติน กรดไฮยาลูรอน หรือคอลลาเจน ลดน้อยลง ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง ส่งผลให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า อาทิเช่น ริ้วรอยใต้ตา

2. พันธุกรรม

คนเรามีช่วงเวลาที่เริ่มมีริ้วรอยต่างกัน ความลึก ความรุนแรง ความยากง่ายของการเกิดริ้วรอยก็ต่างกัน เนื่องจากผิวของคนเรามีโครงสร้างหรือลักษณะการสร้างสารต่างๆ ไม่เหมือนกันจากการกำหนดโดยพันธุกรรม

3. รังสียูวี (Ultraviolet (UV) light)

รังสียูวีเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากที่สุด ทั้งยังเร่งให้ริ้วรอยเป็นร่องลึกขึ้นได้มากกว่าเดิมด้วย เนื่องจากรังสียูวีสามารถเข้าไปถึงชั้นผิวหนังด้านใน และทำลายโครงสร้างของคอลลาเจน อิลาสติน และไฟเบอร์ต่างๆในผิว จนทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าเดิมได้

4. การสูบบุหรี่และดื่มสุรา

บุหรี่มีผลต่อการสร้างคอลลาเจน และมีผลทำให้ร่างกายเสื่อมเร็วขึ้น (Aging) เซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานแย่ลง ส่วนสุรามีผลทำให้ผิวขาดน้ำจนเกิดริ้วรอยตื้นๆ ได้

5. การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ

เมื่อเรายิ้ม หัวเราะ เลิกคิ้ว หรือขมวดคิ้ว มักจะมีผิวบางส่วนที่ถูกกดเข้าหากัน หากผิวหนังส่วนนี้มีความยืดหยุ่นน้อย จะทำให้เกิดเป็นริ้วรอยบนใบหน้าได้ ยิ่งขยับซ้ำๆ ริ้วรอยจะยิ่งชัดขึ้นและเป็นร่องลึก



ริ้วรอยมีกี่ประเภท ?

ริ้วรอยบนใบหน้าแบ่งออก 2 ประเภท คือ

1.ริ้วรอยถาวร (Static line): เกิดจากผิวหนังชั้นบนสุดมีความแห้ง ขาดน้ำ หรือจากอายุที่มากขึ้น สภาพแวดล้อมที่อยู่เช่น อยู่ในสถานที่เย็น ๆ ในห้องปรับอากาศตลอดทั้งวันทำให้ผิวบาง ผิวย่น

2.ริ้วรอยที่เกิดเมื่อขยับ (Dynamic line): สาเหตุจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้หนังแท้กับหนังกำพร้าดึงเข้าหากัน เกิดเป็นรอยย่น มองเห็นเป็นร่องใหญ่ขึ้น พบได้มากในผู้มีผิวแห้งมาก ๆ และผิวมัน

 
ตำแหน่งริ้วรอยบนในหน้าที่พบบ่อย

โดยปกติแล้วริ้วรอยมักจะเกิดขึ้นในบริเวณเฉพาะบนใบหน้า

    ริ้วรอยใต้ตา: ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยหางตา หรือ ตีนกา เป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย เพราะผิวหนังบริเวณรอบดวงตาบอบบางกว่าบริเวณอื่นบนใบหน้าและเกิดริ้วรอยได้ง่าย

    ริ้วรอยหน้าผาก : บริเวณหน้าผากและหว่างคิ้ว เป็นริ้วรอยที่มาจากการการขยับกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เมื่อเรายิ้ม หัวเราะ เลิกคิ้ว หรือขมวดคิ้ว เมื่อเวลาผ่านไปมักจะมีร่องลึกขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงบริเวณหน้าผากเป็นจุดที่กว้าง โดนแสง UV ได้มาก ในคนที่ไม่ทาครีมกันแดด และออกแดดบ่อย ริ้วรอยบริเวณหน้าผากจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าผู้อื่น

    ริ้วรอยร่องแก้ม : เป็นอีกจุดที่พบได้ เกิดจากการแสดงสีหน้า เวลายิ้ม และความหย่อนคล้อยของผิว โดยส่วนใหญ่แล้วรอยย่นที่แก้มจะมีลักษณะเป็นร่องลึก เป็นเส้นยาวตั้งแต่บริเวณปีกจมูกโค้งลงมาถึงที่มุมปาก

    ริ้วรอยที่คอ : เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้บ่อย เกิดจากผิวขาดความยืดหยุ่นและความหนาแน่นของผิวที่ลดลง

 
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้า มีอะไรบ้าง
1. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

ผลิตภัณฑ์สูตรลดริ้วรอย ควรมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งส่วนผสมที่นิยมใช้กันได้แก่ เรตินอยด์ (Retinoids), วิตามินซี (Ascorbic acid), อัลฟา ไฮดรอกซี แอซิด (AHA), ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10), และกรดไฮยาลูโรนิค
2.การทำทรีทเม้นท์

การดูแลและบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึกที่สามารถช่วยชะลอและป้องกันปัญหาผิว ซึ่งประกอบด้วยหลายขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่ การนวดหน้า การมาสก์หน้า การผลักวิตามินเข้าผิวด้วยความเย็น การทาครีมบำรุง เพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวหน้ากระชับ ดูกระจ่างใสขึ้น
3. โบท็อก ลดริ้วรอย

ริ้วรอยบนใบหน้าเกิดจากการที่กล้ามเนื้อขยับจนทำให้ผิวหนังพับเกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอย การฉีดโบท็อกซ์จะไปออกฤทธิ์กับระบบประสาทและกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว ขยับน้อยลง ริ้วรอยในบริเวณดังกล่าวจะค่อยๆ น้อยและจางลง
4. ฟิลเลอร์ Filler

การฉีดฟิลเลอร์ คือ วิธีการรักษาริ้วรอยร่องลึกบนใบหน้า ด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เข้าไปเติมเต็มในชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ และมีการยุบตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น อาทิเช่น ริ้วรอยใต้ตาและยังช่วงเพิ่มความชุ่มชื้นทำให้ผิว ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้

5.การทำหัตการด้วยเครื่องมือแพทย์
   5.1 Exilis Ultra 360

Exilis Ultra 360 คือ การส่งคลื่นความร้อนที่มีความปลอดภัยสูงไปสู่ชั้นผิวหนังเรียกได้ว่าเป็น NEW Model ที่สามารถผสมผสาน ระหว่าง พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (Monopolar RF) และ คลื่นเสียง Ultrasound เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้การส่งพลังงานสามารถกระจายได้อย่างทั่วถึง ซึ่ง Exilis Ultra 360 จะส่งผ่านพลังงาน 2 ชนิดเข้าไปกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน รวมทั้งทำให้คอลาเจนใต้ผิวแข็งแรง ช่วยให้ผิวบริเวณที่มีริ้วรอยกระชับได้
   5.2 Ulthera

วิธีลดริ้วรอยด้วย Ulthera เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยในการยกกระชับผิวหน้า ปัจจุบันเริ่มเป็นที่คุ้นเคยมากขึ้น โดยการทำงานของ Ulthera จะไม่ต้องฉีดหรือใช้เข็ม ทำงานโดยใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ที่ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิว เหมาะกับคนที่ต้องการปรับโครงสร้างหน้าและมีริ้วรอยเล็ก ๆ ช่วย ลดริ้วรอย แก้ไขความหย่อนคล้อยและเพิ่มความกระชับให้กับบริเวณผิวหน้า
   5.3. New Doublo 2.0

new doublo 2.0 คือ เครื่องมือในการยกกระชับผิว ที่มาพร้อมกับ Synergy Effect เป็นการรวม 2 พลังงานสำคัญในการกระตุ้นคอลลาเจน ยกกระชับผิว ด้วย คลื่นเสียง - MFU (Micro Focused Ultrasound) และ คลิ่นวิทยุ - RF (Redio Frequency) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีเฉพาะเครื่อง Doublo 2.0 เครื่องแรกและเครื่องเดียวเท่านั้น

 

         นอกจากนั้น New Doublo 2.0 ยังมีหัวที่มีลักษณะเป็นเข็มเล็กๆ หรือ Microneedle RF ที่จะมาช่วยเสริมการรักษาทั้งในแง่ของการยกกระชับผิว และปรับ Texture ของผิว ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น กระชับรูขุขมขน ให้ผิวดูเรียบเนียน ละเอียด ลดริ้วรอย ตื้นๆ ได้อีกด้วย

11


หากพูดถึงการซื้อประกัน คงฟังดูเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน ไหนจะการเลือกแผนประกัน ไหนจะต้องพิจารณาค่าเบี้ย แล้วไหนจะเงื่อนไขมากมายที่ต้องทำความเข้าใจ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะยังไม่ตกลงปลงใจที่จะซื้อประกันชีวิต เสียชีวิตทุกกรณี ประกันสุขภาพ หรือ ประกันอุบัติเหตุ ให้กับตัวเองสักที
แต่หากพูดถึงความสำคัญแล้ว การมีประกันก็เหมือนการมีแผนสำรองที่ดีในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ เช่น อุบัติเหตุร้ายแรง โรคภัยไข้เจ็บที่อาจจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว และถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ตราบใดที่คุณไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้

เทคนิคการเลือกซื้อประกัน ด้วยการพิจารณาความเหมาะสมตามช่วงวัย
วันนี้เราจึงขอแนะนำ เทคนิคการเลือกซื้อประกันสำหรับทุกวัย พิจารณาความเหมาะสมตามช่วงวัย พร้อมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแผนประกันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตัวเอง และคนรอบตัวที่คุณรักอีกด้วย

ประกันสำหรับ วัยเด็ก (0 - 20 ปี)
    ในช่วงวัยนี้ประกันที่ตอบโจทย์มากที่สุดคือ ประกันสุขภาพ และ ประกันอุบัติเหตุ เพราะคุณคงถือเป็นวัยรุ่น วัยใส วัยบ้าบิ่น ที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเป็นกังวลเป็นพิเศษ ทั้งปัญหาการเจ็บป่วย และอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเลือกซื้อประกันสุขภาพควบคู่ไปกับประกันอุบัติเหตุ ก็จะช่วยให้คุณกล้าออกไปเผชิญโลกกว้าง เรียนรู้การใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ และช่วยทำให้คนทางบ้านที่เป็นห่วงคุณอยู่รู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้น
 


ประกันสำหรับ วัยเริ่มทำงาน (21 - 30 ปี)
    แน่นอนว่าช่วงวัยทำงานตอนต้น (First Jobber) สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อให้มีฐานะที่มั่นคงในอนาคต ดังนั้นจึงควรเลือก ประกันออมทรัพย์ และ ประกันอุบัติเหตุ เพราะจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในการวางแผนการใช้จ่าย ช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินก้อนได้ตามเป้าหมาย และ ยังมีประกันอุบัติเหตุที่จะช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย และยังมีค่าชดเชยต่างๆ อีกมากมาย

ประกันสำหรับ วัยสร้างครอบครัวและมีบุตร (31 - 50 ปี)
    เป็นช่วงวัยที่คุณเริ่มมีคนสำคัญในชีวิตให้ต้องดูแล การสร้างครอบครัวและวางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยก็คงต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างดี ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ หรือ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะเป็นประกันที่เบี้ยไม่สูง และคุ้มครองตามระยะเวลาที่สามารถเลือกได้ เป็นอีกหนึ่งแผนสำรองหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับคุณ ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะต้องลำบาก

 ประกันสำหรับ วัยเกษียณ (51 ปีขึ้นไป)
    ผู้สูงอายุในวัยเกษียณ เป็นวัยที่อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเจอกับโรคภัยไข้เจ็บมากที่สุด การมีประกันสุขภาพผู้สูงอายุ ที่ครอบคลุมโรคยอดฮิตรวมถึงโรคร้ายแรง และ วงเงินการคุ้มครองคุ้มค่า ก็จะช่วยให้คุณป้องกันความเสี่ยง และยังสามารถสนุกกับการใช้ชีวิตและอยู่กับคนในครอบครัวได้อย่างอุ่นใจ

ถึงแม้ว่าในแต่ละช่วงวัยจะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาก็คืออุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการมีประกันอุบัติเหตุคู่ใจที่จะช่วยดูแลความยุ่งยากต่างๆ ทั้งคุ้มครองคุ้มค่าและชดเชยเต็มที่ ก็นับเป็นสิ่งที่จำเป็นกับคนทุกวัยด้วยเช่นกัน

12
ประเทศญี่ปุ่นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่องของสุขภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและสะอาด ไปดูกันว่าเอกลักษณ์ของสุขภัณฑ์ญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง

เมื่อพูดถึง “สุขภัณฑ์” หรือ “ห้องน้ำไฮเทค” ที่สุดล้ำสมัย เต็มไปด้วยนวัตกรรม แน่นอนว่าประเทศญี่ปุ่นย่อมขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ ที่ทุกคนนึกถึง เนื่องจากมีชื่อเสียงและมีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในเรื่องของเทคโนโลยีในสุขภัณฑ์อัตโนมัติ
 
1. ทุกความก้าวหน้า มาจากความพยายามไม่สิ้นสุด
โถสุขภัณฑ์เซรามิกชิ้นแรกของประเทศญี่ปุ่น ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) หรือมากกว่า 100 ปีมาแล้ว โดยมิสเตอร์ คาซูชิกะ โอคุระ (Mr. Kazuchika Okura) มีโอกาสได้เดินทางไปยุโรปและรู้สึกประทับใจในเครื่องสุขภัณฑ์เซรามิกเป็นอย่างมาก ประกอบกับในขณะนั้นระบบสุขาภิบาลของประเทศญี่ปุ่นยังไม่ค่อยดีนัก จึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนา ด้วยความเชื่อมั่นว่าประเทศญี่ปุ่นเองก็ควรจะมีเครื่องสุขภัณฑ์ที่สะอาดและมีคุณภาพเช่นกัน

ในเวลาต่อมา มิสเตอร์ คาซูชิกะ โอคุระ จึงลงทุนสร้างโรงงานและทำการค้นคว้าวิจัย  พัฒนา ลองผิดลองถูกอยู่กว่า 20,000 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 2 ปี จนได้มาซึ่งโถสุขภัณฑ์เซรามิกชิ้นแรกของประเทศญี่ปุ่น จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ มิสเตอร์ คาซูกะ โอคุระ ก่อตั้งบริษัท โตโยโตคิ ขึ้นในปีค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) เพื่อเข้าสู่ตลาดเครื่องสุขภัณฑ์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท โตโต้ (TOTO) มาจนถึงปัจจุบัน



2. ความพิถีพิถัน ใส่ใจทุกรายละเอียด
ประเทศญี่ปุ่น ขึ้นชื่อเรื่อง “ความพิถีพิถัน” ใส่ใจในทุกรายละเอียด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นล้วนสะท้อนออกมาผ่านวัฒนธรรม และวิถีการใช้ชีวิต ยกตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่ง “วาโชกุ” (Washoku) หรือวัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นนั้น ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม[1] หรือ ศิลปะการชงชา (Chadō), การจัดดอกไม้ (Ikebana), การจัดสวนเซน (Karesansui) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน มีรายละเอียดในทุกขั้นตอน

สุขภัณฑ์ญี่ปุ่นเองก็เช่นเดียวกัน ทุกกระบวนการคิดค้นเทคโนโลยี เต็มไปด้วยความใส่ใจที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น แม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม เช่น สุขภัณฑ์ TOTO ที่มีการออกแบบขอบโถไร้ขอบ RIMLESS เพื่อให้ทำความสะอาดง่าย ลดมุมอับที่จะทำให้สิ่งสกปรกสะสม และอุปกรณ์ทำความสะอาดมักเข้าไม่ถึง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถลดระยะเวลาในการทำความสะอาดห้องน้ำลงได้


3. เทคโนโลยีล้ำสมัย ถูกใจผู้ใช้งานทั้งโลก
หลายคนที่เคยไปท่องเที่ยวยังประเทศญี่ปุ่น หรือ เข้าห้องน้ำภายในห้างสรรพสินค้าบางแห่งในประเทศไทย อาจเคยมีโอกาสได้ใช้งานก้านฉีดชำระที่มากับฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET แล้วรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ชื่นชอบในนวัตกรรม และมีความสุขกับการเลือกฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายรูปแบบจากรีโมทคอนโทรล จนรู้สึกไม่อยากออกจากห้องน้ำ ซึ่งบางคนอาจเพิ่งเคยรู้จัก WASHLET ได้ไม่นาน แต่ความจริงแล้วฝารองนั่งล้ำๆ ดังกล่าวมีประวัติความเป็นมานานกว่านั้น

ก่อนหน้านี้ ในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีวัฒนธรรมในการทำความสะอาดด้วยน้ำ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลกที่นิยมใช้กระดาษทิชชูมากกว่า จนกระทั่งฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ที่มาพร้อมก้านฉีดชำระ ได้วางจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) หรือเมื่อ 42 ปีที่แล้ว โดยบริษัท TOTO และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะผู้ใช้รู้สึกว่าสะอาด ถูกสุขอนามัย อีกทั้งยังสะดวกสบายกว่าการเช็ดด้วยกระดาษชำระ นอกจากนี้ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอากาศหนาว การใช้ฝารองนั่งอุ่นที่ปรับอุณหภูมิได้ จึงตอบโจทย์กับการใช้งานเป็นอย่างมาก ช่วยให้ไม่ต้องสะดุ้งทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ ทำให้ฝารองนั่งไฟฟ้านี้แพร่หลายทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน


4. เคารพธรรมชาติ และดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ประเทศญี่ปุ่นนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ก่อให้เกิดคำว่า “Mottainai” (มต-ไต-ไน่) ซึ่งในภาษาญี่ปุ่น โดยทั่วไปแล้วหมายถึงการที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างคุ้มค่าถึงที่สุด จนนำไปสู่การสูญเสียอย่างน่าเสียดาย (กล่าวคือน่าจะใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ามากกว่านั้น) นอกจากนี้ยังมีความหมายในแง่อื่นๆ อีกทั้งยังเป็นคำที่มักใช้เพื่อกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เพราะการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ได้มีเพียงแค่คอนเซปต์ของ 3Rs อันหมายถึง Reduce (การลด), Reuse (การใช้ซ้ำ), Recycle (การรีไซเคิล) เท่านั้น แต่ยังหมายถึงอีก R หนึ่งนั่นก็คือ “Respect” ความเคารพต่อทรัพยากรของโลกที่ไม่สามารถทดแทนได้นั่นเอง

สุขภัณฑ์ห้องน้ำญี่ปุ่น อย่าง TOTO จึงให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบที่จะเกิดกับธรรมชาติให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นที่จะพัฒนาโถสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ อย่างในปี ค.ศ.1976 (พ.ศ. 2519) TOTO ได้เปิดตัวสุขภัณฑ์ที่ใช้น้ำเพียง 13 ลิตร ต่อการกดน้ำชำระล้างหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยกว่าสุขภัณฑ์ในยุคก่อนหน้านั้นมากถึง 35% และในปัจจุบันโถสุขภัณฑ์ของ TOTO พัฒนามาจนใช้ปริมาณน้ำน้อยที่สุดเพียง 3.8 ลิตร สำหรับการกดชำระล้างแบบหนัก และใช้น้ำเพียง 3 ลิตร สำหรับการชำระล้างแบบเบา เมื่อเทียบกับโถสุขภัณฑ์ หรือ ชักโครกทั่วไปในยุคปัจจุบัน (ใช้น้ำ 6 ลิตร) ก็สามารถช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่า 36% ด้วยกัน

13
new doublo 2.0 คืออะไร
คือการทำงานร่วมกันของ HIFU และ Multipolar RF ในเวลาเดียวกัน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ช่วยกระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ได้ดียิ่งขึ้น และเสริมประสิทธิภาพในการรักษาริ้วรอย
ร่องลึกให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น เหนือไปกว่าการทำ HIFU เพียงอย่างเดียว ซึ่งเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนและทันใจสำหรับคนที่ต้องการใช้ใบหน้าอย่างรวดเร็ว

ซึ่งการทำงานของ New Doublo 2.0 จะช่วยยกระดับการแก้ปัญหาผิวได้เป็นอย่างดี!


 
1. เทคโนโลยี HIFU(High Intensity Focus Ultrasound)
ที่ใช้คลื่นเสียงโฟกัสพลังงานลงไปกระตุ้นการสร้าง collagen ในชั้นต่างๆ ของผิว ปรับใช้ได้ทั้งแบบ dot line และ linear เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการในเวลาอันรวดเร็ว
มีหัวยิงที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เน้นการยกกระชับหน้า และหัวยิงสำหรับเน้นสลายไขมัน มีเซ็นเซอร์เพื่อช่วยให้ยิงพลังงานได้อย่างปลอดภัย ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บ ไม่จำเป็นต้องทายาชา

2. เทคโนโลยีเอกสิทธิ์ของเครื่อง doublo
คือการทำงานร่วมกันของ HIFU และ Multipolar RF ในเวลาเดียวกัน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ช่วยกระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ได้ดียิ่งขึ้น และเสริมประสิทธิภาพในการรักษาริ้วรอย
ร่องลึกให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น เหนือไปกว่าการทำ HIFU เพียงอย่างเดียว ซึ่งเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนและทันใจสำหรับคนที่ต้องการใช้ใบหน้าอย่างรวดเร็ว



3. เทคโนโลยี advance doublo Needle RF
เหมาะสำหรับการรักษาพื้นผิวให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน รักษาหลุมสิว ปรับระดับความลึกของเข็มได้หลายระดับเพื่อให้เหมาะสมกับการแก้ปัญหาในทุกพื้นที่และครอบคลุมการรักษาอย่างดียิ่งขึ้น



14


     คืนโลกที่สดใสให้กับผู้สูงวัยที่เป็นต้อกระจก ด้วยการสนับสนุนการผ่าตัดต้อกระจกแก่ผู้ป่วยสูงวัย ที่ด้อยโอกาส ให้สามารถเข้าถึงการรักษาและการ บริการได้เร็วมากขึ้น โดยร่วมกับทีมจักษุแพทย์อาสา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อลดระยะเวลารอคอยในการผ่าตัดและลดภาวะตาบอด  จากต้อกระจกไม่ให้เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคม ประกันสุขภาพ

     จากสถิติของกรมการแพทย์พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับปัญหาโรคตา โดยเฉพาะผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 70 โดยมีสาเหตุหลักมาจากภาวะต้อกระจก ซึ่งเป็นโรคที่พบมากในผู้สูงอายุ  โรคต้อกระจกเกิดจากความเสื่อมตามอายุ และหากปล่อยทิ้งไว้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ในระยะเวลากว่า 15 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสัดส่วนโครงสร้างจำนวนผู้สูงอายุทีเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นผลให้พบผู้ป่วยที่มีภาวะเป็นโรคต้อกระจกเพิ่มจำนวนมากขึ้น การรักษาทำได้ด้วยการผ่าตัดสลายต้อกระจกซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุกลับมามองเห็นได้ชัดเจนขึ้น และสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ตามปกติอีกครั้งหนึ่ง



    การดำเนินโครงการที่ผ่านมา ทีมจักษุแพทย์อาสา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะนำทีมแพทย์พยาบาล ออกหน่วยตรวจรักษา ร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด และบริษัทจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ ที่ให้การสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือและยาสำหรับการผ่าตัด โดยค่าใช้จ่ายหลักจะเก็บจากภาครัฐ (โครงการประกันถ้วนหน้า) และมูลนิธิร่วมบริจาคสมทบ ดวงตาละ 10,000.- บาท เพื่อเป็นการช่วยร่นระยะเวลารอคอยในการผ่าตัด เนื่องจากขาดแพทย์รักษา หรือมีผู้ป่วยจำนวนมาก รวมทั้งยังมีผู้สูงอายุที่ไม่มีสิทธิอันเนื่องมาจากเป็นบุคคลไร้สัญชาติ  ไม่มีหลักฐานการแสดงสิทธิในการเป็นพลเมือง ซึ่งมีอยู่จำนวนมากตามชายแดนที่ไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาล


      ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุที่เป็นต้อกระจก มูลนิธิ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง



Cr : thailife.com/ร่วมช่วยเหลือและแบ่งปัน/รายละเอียด/โครงการ%20มองโลกใส%20แม้วัยสูง

15
อสังหา / 6 วิธีแก้โถสุขภัณฑ์กดไม่ลง
« เมื่อ: 03 ธันวาคม 2024, 15:39:19 pm »
โถสุขภัณฑ์ สุขภัณฑ์ชิ้นเดียว กดไม่ลง ทำยังไง
สาเหตุที่ทำให้โถสุขภัณฑ์กดไม่ลงมีอะไรบ้าง?

ต้นเหตุที่ทำให้ชักโครกกดไม่ลงมีด้วยกันหลากหลายประการ ซึ่งแน่นอนว่าหากทราบ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ในการป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากปัญหาดังต่อไปนี้

    เกิดการอุดตัน: หนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือการอุดตันของท่อระบายน้ำที่เกิดจากการทิ้งกระดาษชำระหรือเศษขยะอื่น ๆ ลงในโถชักโครก ดังนั้นถึงแม้จะเป็นวิธีกำจัดขยะที่สะดวกสบาย แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันปัญหาที่ตามมา
    ระดับน้ำน้อยเกินไป: อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โถสุขภัณฑ์กดไม่ลงคือระดับน้ำในถังที่ต่ำเกินไป จนไม่เพียงพอที่จะชำระล้างและสร้างแรงดันเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ในชักโครก ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหานี้ จึงควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำให้พอดีต่อการใช้งาน
    ลูกยางรั่ว: ลูกยางรั่วเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ชักโครกกดไม่ลง เนื่องจากลูกยางคือชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่เปิดปิดช่องทางน้ำของโถสุขภัณฑ์ ดังนั้นเมื่อเกิดการรั่วน้ำจะค่อย ๆ ระบายออกจากถัง ทำให้ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการกดน้ำเพื่อชำระล้าง ซึ่งหากปัญหานี้เกิดขึ้น ควรเปลี่ยนลูกยางโดยเร่งด่วน
    ฟลัชวาล์วชำรุด: เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเวลาผ่านไป ฟลัชวาล์วอาจเกิดการชำรุดและสึกหรอได้ จากสาเหตุต่าง ๆ ไม่ว่าจะการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ซึ่งย่อมส่งผลให้โถสุขภัณฑ์กดไม่ลงได้เช่นกัน จึงควรหมั่นตรวจสอบอยู่เป็นประจำ


 
6 วิธีแก้โถสุขภัณฑ์กดไม่ลง

เมื่อได้ทราบถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับสุขภัณฑ์ห้องน้ำ ที่ส่งผลให้ชักโครกกดไม่ลงกันไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ต่อให้พยายามป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุอย่างรอบคอบเท่าไร ก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้อยู่ดี แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เพราะเรามี 6 วิธีแก้โถสุขภัณฑ์กดไม่ลงมาแนะนำ ดังต่อไปนี้

    ใช้ปั๊มลูกสูบ: อุปกรณ์ที่นิยมที่สุดในการกำจัดสิ่งอุดตันในชักโครกคือปั๊มลูกสูบ สำหรับวิธีการใช้งาน ก็เพียงเติมน้ำลงในโถสุขภัณฑ์ให้เพียงพอเพื่อให้ลูกสูบสามารถสร้างแรงดูดได้ จากนั้นวางลูกสูบไว้เหนือรูระบายน้ำ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปิดครอบรูให้สนิท ตามด้วยดันลงและดึงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งจนกว่าสิ่งอุดตันจะคลายออก

    ใช้น้ำร้อนกับน้ำยาล้างจาน: ถ้าหากใช้ปั๊มลูกสูบแล้วไม่ได้ผล อีกหนึ่งวิธีคือให้ลองใช้น้ำร้อนกับน้ำยาล้างจานเพื่อล้างสิ่งอุดตัน โดยเทน้ำร้อน 2-3 ถ้วยลงในโถสุขภัณฑ์ จากนั้นเติมน้ำยาล้างจานในปริมาณที่พอเหมาะ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที โดยน้ำร้อนและน้ำยาล้างจานมีฤทธิ์ในการชำระล้างคราบฝังแน่น จากนั้นใช้ปั๊มลูกสูบเพื่อพยายามคลายการอุดตันภายในโถชักโครก



    ใช้สว่านชักโครก: สว่านชักโครกเป็นสายยาวที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่งใช้เพื่อล้างสิ่งอุดตันในชักโครก โดยวิธีการใช้คือให้สอดสายเข้าไปในชักโครก ดันลงท่อระบายน้ำจนกว่าจะถึงจุดอุดตัน จากนั้นหมุนด้ามสว่านไปตามทิศทางตามเข็มนาฬิกาเพื่อสลายสิ่งอุดตัน

    ใช้เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู: อีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยขจัดสิ่งอุดตันในชักโครกคือการใช้เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู โดยให้เทเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวงลงไป จากนั้นเติมน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นใช้ปั๊มลูกสูบดันเข้าไปเพื่อคลายการอุดตัน

    ติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญ: หากวิธีการข้างต้นไม่ได้ผล ก็ถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างมืออาชีพ เนื่องจากพวกเขาจะมีเครื่องมือและความเชี่ยวชาญในการขจัดสิ่งอุดตันในโถสุขภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถระบุสาเหตุของการอุดตันและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคตได้อีกด้วย



    เปลี่ยนโถสุขภัณฑ์: สำหรับวิธีสุดท้ายถึงแม้จะต้องลงทุนมากที่สุด แต่ก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุดเช่นกัน นั่นคือการเปลี่ยนมาใช้โถสุขภัณฑ์ที่มีระบบการชำระล้างแบบ TORNADO FLUSH ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยป้องกันการอุดตันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากถูกคิดค้นและพัฒนามาอย่างยาวนาน เพื่อให้ทำความสะอาดได้หมดจด โดยใช้น้ำในปริมาณน้อย รวมไปถึงทำงานควบคู่กับโถสุขภัณฑ์แบบไร้ขอบ RIMLESS จึงช่วยลดมุมอับ ซึ่งเป็น 1 ในสาเหตุหลักที่คราบสกปรกมักเกาะติดอยู่ด้านในชักโครก นอกจากนี้ หากเลือกสุขภัณฑ์ที่มีสารเคลือบ CEFIONTECT จะช่วยทำหน้าที่เคลือบพื้นผิวเซรามิกให้มีความเรียบลื่น ช่วยให้เวลากดชำระล้างสิ่งสกปรกจะหลุดออกไปได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากเลือกใช้เป็นโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ หรือโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะ ก็จะทำให้ไม่จำเป็นต้องมีฟลัชวาล์ว หรือปุ่มกดชำระที่โถส้วม เนื่องจากเป็นระบบอัตโนมัติภายในตัว สามารถชำระล้างได้เองหลังจากการใช้งานอุปกรณ์สุขภัณฑ์ หรือกดชำระจากรีโมทคอนโทรล ช่วยลดปัญหาฟลัชวาล์วชำรุดได้

หน้า: [1] 2
ลงประกาศฟรี ติดหน้าแรก google โพสต์ฟรี ลงโฆษณาฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว วัตถุดิบทางการเกษตร ขายปลีก -ขายส่ง เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google